ตื่นขึ้นมาเช้าวันนี้ สิ่งแรกที่ทำคือโผล่ออกไปดูท้องฟ้าและสภาพอากาศ เพราะวันนี้เรามีโปรเเกรมขึ้นไปชมยอดเขามองต์-บลังซ์ ดูเหมือนเเต้มบุญที่สะสมไว้ยังพอมีเหลืออยู่ ปรากฎว่าท้องฟ้าและอากาศในเช้าวันนี้เเจ่มใสมาก ผิดจากเมื่อวานที่สภาพอากาศปิด มีฝนและเมฆหมอกตลอดทั้งวัน.. 😀
ที่พักของเราอยู่ที่หมู่บ้าน Passy ซึ่งห่างจาก Chamonix ประมาณ 18 กิโลเมตร ใช้เวลาขับรถประมาณ 15 นาที สาเหตุที่ต้องออกมาพักนอกเมืองก็เนื่องจากที่พักใน Chamonix เต็มเกือบหมดและมีราคาแพงมากในช่วงไฮซีซั่นแบบนี้
ระหว่างทางที่เดินไปยังสถานีกระเช้า เดินผ่านป้ายรถเมล์ที่เรายกให้เป็น “ป้ายรถเมล์ที่มีวิวสวยที่สุด“ ^^
บรรยากาศยามเช้าที่เงียบสงบในบริเวณตัวเมือง
สถานีเคเบิ้ลคาร์ L’ Aiguille du Midi
ถึงสถานีเคเบิ้ลคาร์ราวเจ็ดโมงเช้า มีนักท่องเที่ยวที่จองตั๋วขึ้นไปรอบ 07:30 มายืนรอกันแล้ว
ในรอบของเราเวลา 08:00 พบว่าเป็นนักท่องเที่ยวที่เตรียมตัวขึ้นไปเล่นสกีกันเป็นจำนวนมาก แต่ละคนหอบหิ้วอุปกรณ์กันพะรุงพะรัง
ภายในตู้เคเบิ้ลคาร์มีขนาดใหญ่มาก สามารถจุผู้โดยสารได้มากถึง 75 คน
วันนี้สภาพอากาศดี สามารถมองเห็นยอดเขา Aiguille du Midi (ด้านขวามือ) ซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของเราอยู่ไกลๆ
สถานี Plan de l’Aiguille
การเดินทางสู่ยอดเขา Aiguille du Midi แบ่งออกเป็นสองตอนด้วยเคเบิ้ลคาร์สองช่วงที่เป็นอิสระจากกัน โดยช่วงแรกจากสถานีด้านล่างที่ Chamonix (ระดับความสูง 1,038 เมตร) ถึงสถานี Plan de l’Aiguille (ระดับความสูง 2,317 เมตร)
สถานีกลางทาง Plan de l’Aiguille ด้านหลังไกลๆคือยอดเขา Aiguille du Midi ซึ่งอยู่ที่ระดับความสูง 3,842 เมตร

ที่สถานี Plan de l’Aiguille เป็นจุดที่สามารถเดินเเทร็คกิ้งไปยังสถานีรถไฟ Montenvers (ความสูง 1,913 เมตร) ที่มีธารน้ำแข็ง Mer de Glace และถ้าน้ำแข็งให้เที่ยวชมได้
สถานี Aiguille du Midi
ช่วงที่สองจาก Plan de l’Aiguille ขึ้นเคเบิ้ลคาร์อีกคัน ไต่ระดับต่อถึงความสูง 3,777 เมตรที่ สถานี Aiguille du Midi ความพิเศษเฉพาะของเคเบิ้ลคาร์ช่วงนี้คือ สลิงที่ขึงระหว่างสถานีกลาง Plan de l’Aiguille และสถานียอดเขา Aiguille du Midi เป็นสลิงที่ไม่มีเสากลางรับน้ำหนักเลย ข้อเสียคือเวลาที่มีลมเเรงมากๆอาจทำให้ตัวเคเบิ้ลคาร์เเกว่งได้ โดยเฉพาะตอนที่ผ่านใกล้หน้าผาและโขดหิน การหยุดให้บริการเคเบิ้ลคาร์ช่วงนี้ในภาวะที่มีลมกรรโชกเเรงมากๆ (เช่นความเร็วลมสูงถึง 100 กม./ชม.แม้ในสภาพอากาศดี) จึงอาจเกิดขึ้นได้ตามมาตรการความปลอดภัย
เคเบิ้ลคาร์ช่วงที่สองนี้มีขนาดเล็กลงมาหน่อย จุผู้โดยสารได้ 66 คน

อาคารสถานี Aiguille du Midi มีระเบียงและดาดฟ้าชมวิวหลายแห่งที่เรียกว่า Panoramic Terrace
ไปตามอุโมงค์ทางเดินที่ภายในมีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องราวของเหล่านักปีนเขา และการก่อสร้างของสถานที่แห่งนี้ในอดีตให้ชม
ผ่านช่องอุโมงค์ทางออกของคนที่เตรียมตัวไปเล่นสกีลงมาตาม ธารน้ำแข็ง Vallée Blanche
ถัดไปอีกเล็กน้อย เป็นจุดเริ่มต้นของสถานีกระเช้าลอยฟ้า Panoramic Mont-Blanc ซึ่งเปิดบริการเฉพาะในช่วงฤดูร้อน (ระหว่างปลายเดือนพฤษภาคม -ปลายเดือนกันยายน)
**ภาพตัวอย่างของ Panoramic Mont-Blanc

**ภาพตัวอย่างของ Panoramic Mont-Blanc

**ภาพตัวอย่างของ Panoramic Mont-Blanc

**(ภาพตัวอย่าง) จุดชมวิว Helbronner Point ที่ฝั่งประเทศอิตาลี

เดินต่อไปตามระเบียงทางเดินชมวิวที่ทำด้วยโครงเหล็ก มองเห็นทัศนียภาพสวยงามของเทือกเขารอบๆได้อย่างกว้างไกล
ในหุบเขาเบื้องล่างไกลๆคือเมือง Chamonix
Le Tube หรือเรียกว่า The Pipe เป็นท่อเหล็กขนาดใหญ่ ความยาว 33 เมตรที่ทำเป็นทางเดินเชื่อมไปยังโถงอาคารส่วนล่างของยอดเขา Aiguille du Midi
ที่โถงชั้นล่างมีลิฟต์ขึ้นไปยังด้านบนอีก 66 เมตร จึงจะถึงยอดบนสุดของ Aiguille du Midi
The Terrace 3842
ออกจากลิฟต์มาก็จะพบกับลานชมวิว The Terrace 3842 ในวันที่อากาศดีจะสามารถมองเห็นยอดเขา Mont-Blanc ที่มีความสูง 4,810 เมตรได้อย่างชัดเจนจากจุดชมวิวแห่งนี้
ที่ระดับความสูง 3,842 เมตร (เหนือระดับน้ำทะเล) แห่งนี้คือ จุดสูงสุดของยอดเขา Aiguille du Midi บนยอดอาคารเป็นหอคอยซึ่งมีเสาอากาศโทรคมนาคมและเครื่องส่งสัญญาณไมโครเวฟติดตั้งอยู่
Mont-Blanc แม้จะได้ชื่อว่าเป็นยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาแอลป์และยุโรปตะวันตก แต่ด้วยเหตุที่มันไม่มีอะไรเป็นเอกลักษณ์พอที่จะเป็นแลนด์มาร์ค-ไฮไล้ต์ให้คนได้จดจำ (ประมาณว่าถ้าอยู่ตรงหน้าก็ยังไม่รู้ว่านี่คือ Mont-Blanc ถ้าไม่มีคนบอก :D) คนส่วนใหญ่จึงได้เเต่เพียงรู้จัก Mont-Blanc แค่ในนามของยอดเขาที่สูงที่สุดของเทือกเขาแอลป์เท่านั้น
รูปทรงของยอดเขา Mont-Blanc มีลักษณะเป็นโดมเล็กๆ เมื่ออยู่ท่ามกลางยอดเขาที่มีความสูงใกล้เคียงกัน เช่น Mont Maudit (4,465 เมตร), Mont Blanc du Tacul (4,248 เมตร) จึงทำให้ไม่โดดเด่น เมื่อเทียบกับยอดเขายอดฮิตอื่นๆเช่น Matterhorn (เมือง Zermatt, ประเทศสวิสเซอร์แลนด์) ที่มีรูปทรงสวยงามและตั้งตระหง่านโดดเด่นจนเป็นที่รู้จัก-จดจำได้จากนักท่องเที่ยวมากกว่า

ในวันที่เราไปเที่ยว แม้ว่าอากาศจะดี แต่ยอด Mont-Blanc ก็ยังคงขี้อาย ไม่ได้เผยโฉมให้เราได้เห็น แม้ว่าจะรออยู่ตั้งนาน.. 😛

ด้านในของชั้นบนนี้ยังมีไฮไล้ต์อีกอันที่เรียกว่า Pas Dans Le Vide (ภาษาอังกฤษ: “Step into the Void” แปลว่า “ก้าวเข้าสู่ความว่างเปล่า”) เริ่มเปิดให้บริการตั้งแต่เดือนธันวาคม ค.ศ. 2013 ลักษณะเป็นห้องที่มีผนัง, เพดาน และพื้นเป็นกระจกใส ตั้งอยู่บนระเบียงชั้นบนสุดของ Aiguille du Midi ที่ระดับความสูง 3,842 เมตร เมื่อไปยืนบนห้องกระจกนี้ นักท่องเที่ยวจะรู้สึกเหมือนได้ยืนอยู่บนอากาศ ห่างจากพื้นดินเเละภูเขาใต้เท้าเบื้องล่างกว่า 1,000 เมตร ทิวทัศน์รอบตัวคือเทือกเขาน้อยใหญ่ที่ถูกปกคลุมไปด้วยหิมะ เป็นประสบการณ์ที่น่าทึ่งและประทับใจ
Pas Dans Le Vide ได้รับแรงบันดาลใจจาก “สกายวอล์ค” ซึ่งเป็นทางเดินกระจกขนาดใหญ่ที่มองเห็นแกรนด์แคนยอนในรัฐแอริโซนาของสหรัฐอเมริกา แนวคิดเริ่มแรกคือการสร้างทางเดินลอยฟ้าขึ้นรอบๆแพลตฟอร์มด้านบน แต่แนวคิดนี้ไม่สามารถเป็นไปได้เนื่องจากเหตุผลทางด้านสิ่งแวดล้อม จึงได้ลดขนาดโครงการลงเหลือเพียงเท่านี้
กระจกทั้ง 5 แผ่นมีความหนา 12 มม. แต่ละแผ่นประกอบด้วยกระจกสามชั้นซึ่งยึดติดกันและมีโครงโลหะรองรับ กระจกแต่ละบานถูกสร้างขึ้นเป็นพิเศษด้วยมาตรฐานสูงสุดทั้งด้านความแข็งแรงและความปลอดภัย โดยใช้กระจกคุณภาพสูงและกระบวนการยึดติดที่ปรับความโปร่งใสของกระจกให้เหมาะสมที่สุดเพื่อให้มีความชัดเจนที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้
โครงสร้างสามารถทนต่อลมความเร็วสูงสุด 220 กม./ชม. และอุณหภูมิที่เปลี่ยนแปลงได้ 60°C
การก่อสร้างได้รับการออกแบบโดย Pierre-Yves Chays โครงการนี้ใช้เวลา 3 ปีตั้งแต่เริ่มก่อสร้างจนแล้วเสร็จ และเป็นนวัตกรรมทางเทคนิคที่โดดเด่นของแหล่งท่องเที่ยวแห่งนี้
Gallery (Photo Credit: www.chamonix.net)
ชมวิว-ถ่ายรูปบรรยากาศจนจุใจแล้วจึงลงลิฟต์ไปยังเคเบิ้ลคาร์เพื่อเดินทางกลับสู่ Chamonix ต่อไป
โปรแกรมช่วงบ่าย เราจะไปนั่งรถไฟ Montenvers เพื่อขึ้นเขาไปชมธารน้ำแข็ง Mer de Glace สถานีรถไฟ Montenvers ตั้งอยู่ห่างออกไปเพียงระยะเดินประมาณ 10 นาที.. \O.O/
ทางเลือกการเดินทาง
รถบัสจากเมืองเจนีวา-ชาโมนิกซ์ มองต์-บลังซ์ + ตั๋วกระเช้าขึ้น Aiguille du Midi
แชร์เรื่องนี้:
Leave a reply