–: ดูบรอฟนิก (Dubrovnik): ไข่มุกแห่งเอเดรียติก :–
Dubrovnik เป็นเมืองท่องเที่ยวยอดนิยมทางตอนใต้ของโครเอเชีย ตั้งอยู่ริมชายฝั่งตะวันออกของทะเลเอเดรียติก (Adriatic Sea) เป็นเมืองท่าและสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นที่สุดแห่งหนึ่งในแถบเมดิเตอร์เรเนียน ที่นี่เป็นที่รู้จักและมีชื่อเสียงจากบรรยากาศและสิ่งปลูกสร้างของย่านเมืองเก่า ที่ได้รับการอนุรักษ์ไว้เป็นอย่างดี ภาพของอาคารบ้านเรือนที่มีหลังคากระเบื้องสีส้ม ตัดกับฉากหลังที่เป็นน้ำทะเลสีฟ้าสดใส ล้อมรอบด้วยป้อมและกำแพงเมืองที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 12 เป็นส่วนผสมที่ลงตัว สวยงาม และน่าหลงใหล ในปี ค.ศ.1979 ดูบรอฟนิกได้รับการขึ้นทะเบียนให้เป็นมรดกโลกขององค์กรยูเนสโก
ดูบรอฟนิกก่อตั้งขึ้นในศตวรรษที่ 7 ความเจริญรุ่งเรืองของเมืองนี้ในอดีตขึ้นอยู่กับการค้าทางทะเล ในฐานะเมืองหลวงของสาธารณรัฐรากูซา ดูบรอฟนิกได้รับการพัฒนาเป็นอย่างมากโดยเฉพาะอย่างยิ่งในระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 15 ถึงคริสต์ศตวรรษที่ 16
ในช่วงสงครามประกาศเอกราชโครเอเชีย เมืองดูบรอฟนีกถูกทหารชาวเซอร์เบียและมอนเตเนโกรของกองทัพประชาชนยูโกสลาเวียล้อมอยู่เจ็ดเดือน และได้รับความเสียหายอย่างหนักจากการถูกโจมตี แต่หลังจากนั้นก็ได้รับการบูรณะซ่อมแซมในช่วงคริสต์ทศวรรษ 1990-2000 จนกลับมาอยู่ในสภาพเดิมเหมือนดังเช่นในอดีต และกลายเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมในแถบเมดิเตอร์เรเนียนอีกครั้ง
Dubrovnik เคยถูกใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำภาพยนตร์ซีรี่ย์ยอดนิยม “Game of Thrones” โดยเป็นฉากของเมือง King’s Landing (เมืองหลวงของ Seven Kingdoms) สำหรับผู้ที่เคยดูซีรีส์เรื่องนี้ การไปเที่ยวดูบรอฟนิกจึงยิ่งเพิ่มรสชาติความสนุกสนาน กับการออกค้นหาและตามรอยสถานที่ที่เคยใช้ในฉากของภาพยนตร์ ส่งผลให้กิจการ Game of Thrones Filming Location Walking Tour ที่นี่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากจากนักท่องเที่ยว
การเดินทาง: ดูบรอฟนิกตั้งอยู่ห่างจากเมืองซาเกรฟ (เมืองหลวงของโครเอเซีย) ไปทางใต้ประมาณ 605 กิโลเมตร สามารถเดินทางโดยรถบัสโดยสาร ซึ่งใช้เวลาประมาณ 10 ชั่วโมง เราใช้สูตรนั่งรถ night bus ทั้งไปและกลับ ประหยัดค่าโรงแรมไปได้ 2 คืน 😀
สถานีรถบัสของดูบรอฟนิกจะอยู่ห่างจากเมืองเก่าประมาณ 4 กิโลเมตร สามารถใช้บริการรถเมล์สาธารณะ (City Line Bus) ได้
ติดกับสถานีรถบัสเป็นท่าจอดเรือสำราญขนาดใหญ่ บ่งบอกถึงความนิยมในการมาเที่ยวดูบรอฟนิกของนักท่องเที่ยวจากยุโรปและทั่วโลกได้เป็นอย่างดี
– Old City of Dubrovnik –
พิเล่เกต (Pile Gate): เป็นประตูทางเข้าหลักของ เมืองเก่า (Old City) บริเวณนี้ถือเป็นจุดศูนย์กลางของเมืองเลยก็ว่าได้ เพราะรถเมล์เเทบทุกสายต่างก็ต้องวิ่งผ่านมาที่นี่ นอกจากนั้นยังเป็นจุดที่รถทัวร์จะมาส่งนักท่องเที่ยวเเล้วรวมพลเพื่อเตรียมตัวเข้าไปเที่ยวกันต่อในเมืองเก่า บริเวณนี้จึงคึกคักและจอเเจด้วยรถราและผู้คนตลอดทั้งวัน
Pile Gate เป็นหนึ่งในสี่ประตูเมืองเก่า ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือของตัวเมือง สร้างขึ้นในสมัยศตวรรษที่ 15 จากปากประตูจะมีสะพานไม้ที่สามารถยกขึ้น-ลงโดยใช้โซ่ชัก เพื่อใช้เปิด-ปิดทางเข้าได้ เชื่อมกับสะพานหินข้ามผ่านคลองเก่า (ปัจจุบันกลายเป็นสวนร่มรื่นไปแล้ว) เหนือประตูทางเข้ามีรูปปั้นของ เซนต์ เบลส (Saint Blase) นักบุญผู้พิทักษ์แห่งเมืองดูบรอฟนิก
เข้าประตูเมืองชั้นนอกมาแล้วจะเจอกับกำแพงเมืองชั้นใน ออกจากประตูชั้นในมาก็จะพบถนนกว้างปูด้วยแผ่นหินทอดยาวไปถึงประตู Ploce Gate ที่อยู่อีกฝั่งทางด้านตะวันออกของเมือง ถนนเส้นนี้มีชื่อเรียกว่า สตราดูน (Stradun) มีอายุเก่าเเก่อายุร่วมหลายร้อยปี เป็นถนนสายหลักที่เปรียบเสมือนเป็นพลาซ่าหรือจุดศูนย์รวมธุรกิจและสถานที่สำคัญทางศาสนาและวัฒนธรรมของเมือง มีร้านค้าและร้านอาหารมากมายตั้งอยู่ บรรยากาศคึกคักตลอดทั้งวัน
หลังกำแพงเมืองด้านซ้ายมือจะหนึ่งในจุดที่สามารถขึ้นไปเดินเที่ยวรอบกำแพงเมือง (City Wall Walking Tour) ได้ (ต้องซื้อบัตร) ติดกันคือโบสถ์ St. Saviour และ พระอารามฟรานซิสกัน (Franciscan Church and Monastery)
น้ำพุโบราณโอโนฟริโอ (The Large Fountain of Onofrio): อยู่หน้าโบสถ์ St. Saviour สร้างโดย Onofrio Giordano della Cava สถาปนิกชาวอิตาลีผู้มีชื่อเสียง ซึ่งเป็นผู้ออกแบบระบบส่งน้ำและประปาของเมืองในช่วงระหว่างปี ค.ศ.1436 ถึง 1442 หลังจากสร้างระบบส่งน้ำเสร็จ Onofrio della Cava ได้สร้างน้ำพุ Big Onofrio’s Fountain หน้าโบสถ์ St. Saviour และ Small Onofrio’s Fountain ใต้หอระฆังถัดจากอาคารผู้พิทักษ์เมือง
น้ำพุโบราณนี้มีลักษณะเป็นรูปทรงกระบอก มีโดมอยู่ด้านบน มีช่องปล่อยน้ำหรือหัวก๊อกทั้งหมด 16 ด้านซึ่งสร้างจากหินแกะสลักเป็นรูปใบหน้าต่างๆที่ไม่ซ้ำกัน 16 ด้าน ในอดีตเป็นที่สำหรับกักเก็บน้ำฝนเอาไว้ใช้เพื่อการบริโภคของชาวเมือง
เมืองเก่าดูบรอฟนิกมีขนาดที่ไม่ใหญ่มาก ประกอบด้วยอาคารบ้านเรือนที่มีหลังคาสีส้มสร้างอยู่หนาแน่นเต็มพื้นที่ ถนนแคบๆและตรอกซอกซอยที่เชื่อมทะลุถึงกันเรียงรายไปด้วยร้านค้า ร้านอาหาร และร้านกาแฟ นอกจากนี้ยังมีสถานที่สำคัญทางประวัติศาสตร์หลายแห่งให้ชม สามารถเดินทั่วได้ภายในเวลา 2-4 ชั่วโมง
จตุรัสลูซ่า (Luža Square) ตั้งอยู่สุดปลายถนน Stradun ด้านตะวันออก มีสถานที่สำคัญตั้งอยู่ในบริเวณนี้หลายแห่ง เช่น หอระฆัง (Bell Tower), พระราชวังสปอนซา (Sponza Palace), Rector’s Palace, อาสนวิหารดูบรอฟนิก (Dubrovnik Cathedral) และ โบสถ์เซนต์เบลส (St. Blaise Church)
ขวามือในภาพคือโบสถ์เซนต์เบลส (St. Blaise Church) ปิดบูรณะอยู่..
มองจากปลายจตุรัส Luža กลับไปทางหอระฆัง จะเห็นเขา Srd (Mount Srđ) ซึ่งเป็นที่ตั้งของสถานีเคเบิ้ลคาร์อยู่ไม่ไกล
หอระฆัง (Dubrovnik’s Bell Tower) บางครั้งก็เรียกว่าหอนาฬิกา ความสูง 31 เมตร มีอายุตั้งแต่ศตวรรษที่ 15 ตั้งอยู่สุดถนน Stradun ติดกับพระราชวัง Sponza ในจัตุรัส Luža ระฆังที่อยู่บนหอมีรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ของคนตีระฆัง ‘เซเลนซี’ (ฝาแฝดสีเขียว) ซึ่งมีชื่อว่ามาโรและบาโร ในตอนเที่ยงวันระฆังจะถูกตีจนได้ยินเสียงที่ไพเราะดังกังวาลไปทั่วบริเวณ
พระราชวังสปอนซา (Sponza Palace) อยู่ติดกับหอนาฬิกา สร้างขึ้นในช่วงต้นทศวรรษที่ 15 ในตอนแรกมันถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นกรมศุลกากรและโรงกษาปณ์ของเมือง ปัจจุบันพระราชวังแห่งนี้เป็นที่ตั้งของหอจดหมายเหตุแห่งรัฐ Dubrovnik และพิพิธภัณฑ์ของผู้พิทักษ์ Dubrovnik
Rector’s Palace ตั้งอยู่ในทางใต้ของจัตุรัส Luža เป็นอาคารที่สร้างขึ้นครั้งแรกในศตวรรษที่ 13 ที่นี่เคยเป็นที่ทำการของรัฐบาลและหน่วยงานของรัฐ ปัจจุบันพระราชวังแห่งนี้เป็นที่ตั้งของ Town Museum และคอนเสิร์ตฮอลล์
The Cathedral of the Assumption of the Virgin Mary หรือ อาสนวิหารดูบรอฟนิก (Dubrovnik Cathedral) อยู่ถัดจาก Rector’s Palace โบสถ์นิกายโรมันคาธอลิก เป็นที่ประทับของสังฆมณฑลดูบรอฟนิก (ช่วงที่เราไปโดมของโบสถ์กำลังอยู่ในระหว่างซ่อมแซม)
Gunduliceva Poljana Market จาก Dubrovnik Cathedral เดินย้อนกลับมาทาง Rector’s Palace แล้วเลี้ยวซ้าย จะพบ จัตุรัส Gundulic ซึ่งเป็นที่ตั้งของตลาดผักและผลไม้ยามเช้ายอดนิยม (ยกเว้นวันหยุด) มีพ่อค้าแม่ค้ามาตั้งแผงขายของกันมากมาย ในตอนเช้าจัตุรัสแห่งนี้จะเนืองแน่นไปด้วยนักท่องเที่ยว ในขณะที่ช่วงบ่ายและเย็นจะกลับมาเงียบสงบเหมือนเดิม
เราเดินลัดเลาะไปตามตรอกซอกซอยต่างๆในเมือง ไม่ว่าจะเล็กหรือใหญ่ จะมีร้านอาหารหรือร้านกาแฟตั้งอยู่เสมอ บางที่ก็เป็นที่พักของนักท่องเที่ยว เรียกว่าจะอยู่ส่วนไหนของเมืองก็ไม่มีเหงา 😀
และเเน่นอน มีร้านขายของที่ระลึกจากซีรี่ย์ Game of Thrones ด้วย
จากประตู Ploce ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือของเมืองเก่า(ใกล้กับหอระฆัง) เป็นทางออกไปยังอ่าวและท่าเรือที่อยู่ด้านนอก เป็นจุดที่นักท่องเที่ยวมาขึ้น-ลงเรือกัน เดินเที่ยวในเมืองจนเมื่อยแล้ว เปลี่ยนบรรยากาศมานั่งพัก สูดอากาศสดชื่น รับลมเย็นๆ แล้วค่อยกลับไปเดินเที่ยวต่อ 😀
– กำแพงเมืองเก่า (Walls of Dubrovnik) –
กำแพงเมืองดูบรอฟนิก เป็นหนึ่งในสิ่งก่อสร้างที่ทรงคุณค่าทางประวัติศาสตร์ กำแพงเมืองดั้งเดิมสร้างขึ้นเมื่อช่วงศตวรรษที่ 7 ตั้งเเต่สมัยจักรวรรดิ์ไบเเซนไทน์ยังปกครองดินแดนแถบนี้อยู่ แรกเริ่มได้สร้างจากไม้ ตัวกำแพงที่เห็นในปัจจุบันนี้เป็นผลมาจากการบูรณะครั้งใหญ่ในช่วงศตวรรษที่ 12-17 ซึ่งเปลี่ยนจากกำแพงไม้มาเป็นหินขนาดใหญ่เรียงซ้อนกันอย่างมั่นคงเเข็งเเรง พร้อมป้อมปราการและหอคอยที่ถูกต่อเติมขึ้นมาในช่วงศตวรรษที่ 14-15 กำแพงนี้ยืนตระหง่าน โอบล้อม และป้องกันตัวเมืองจากการรุกรานของฆ่าศึกได้ตลอดมากว่าพันปี แม้จะได้รับความเสียหายจากภัยธรรมชาติ(แผ่นดินไหว) และภัยของสงครามบ้าง แต่ตัวกำแพงเมืองเก่าก็ยังคงสภาพสมบูรณ์และสวยงามมาได้ตลอดอย่างไม่น่าเชื่อ
การ เดินเที่ยวรอบกำแพงเมืองเก่า (City Wall Walking Tour) เป็นอีกหนึ่งกิจกรรมที่ไม่ควรพลาด ซื้อตั๋วในราคา 200 คูน่า (Kn) ซึ่งใช้เข้าชม ป้อม Lovrijenac ได้ด้วย เราเลือกจุดเริ่มต้นที่ด้านประตูทางเข้า Pile Gate (หมายเลข 9 ในแผนที่)
กำแพงเมืองนี้มีความยาวโดยรอบทั้งสิ้น 1,940 เมตร ประกอบด้วยกำแพงเมืองหลัก หอคอย ป้อมปราการ เขื่อนกันคลื่น สะพานชัก ฯลฯ ความสูงเฉลี่ยของกำแพงประมาณ 25 เมตร มีความกว้างประมาณ 4–6 เมตรบนฝั่งดิน และ 1.5-3 เมตรด้านที่ติดกับทะเล
ช่วงเวลาที่เหมาะสมในการขึ้นมาเดินเที่ยวกำแพงเมืองเก่านี้คือในตอนเช้า ซึ่งนักท่องเที่ยวยังมีจำนวนไม่มากและอากาศยังไม่ร้อน (เวลาเปิด 08:00-18:00)
ประตูทางเข้า Pile Gate ยามเช้าในมุมมองจากบนกำแพงเมือง
ถนน Stradun ทอดยาวจาก Pile Gate ไปยัง จตุรัสลูซ่า (Luža Square) ทางทิศตะวันออก มองเห็นหอระฆังอยู่ไกลๆ
จาก Pile Gate เดินไปทางซ้ายมือ (ทวนเข็มนาฬิกา) จะมองเห็น ป้อมโบการ์ (Bokar Fortress) อยู่สุดปลายกำแพงทางด้านทิศใต้ และ ป้อม Lovrijenac ห่างออกไปอีกเล็กน้อย (ด้านขวามือ)
ป้อม Lovrijenac ตั้งอยู่บนเนินหินนอกเมือง ทำหน้าที่ป้องกันข้าศึกเคียงคู่กับป้อม Bokar
กำแพงด้านทิศใต้ที่ติดกับทะเล
มุมมองจากบนกำแพงเมืองด้านทิศใต้: เห็นเเนวกำแพงที่กั้นเขตเมืองเก่าด้านตะวันตกและด้านเหนือ มีภูเขา Srd อยู่ข้างหลังเป็นแบ็คกราวน์ด
ป้อม Ivan ตั้งอยู่ติดกับอ่าวทางทิศตะวันออกเฉียงใต้ของเมือง สร้างขึ้นในราวศตวรรษที่ 14 เพื่อใช้ป้องกันการรุกรานของโจรสลัดหรือข้าศึกทางทะเล
บริเวณป้อม Ivan (มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า ป้อม St.John) เป็นที่ตั้งของ พิพิธภัณฑ์ทางทะเล (Maritime Museum) ด้วย
ป้อม Luka เป็นป้อมที่อยู่ริมอ่าวเคียงคู่กับป้อม Ivan ตั้งอยู่ด้านตะวันออกเฉียงเหนือของเมือง ใกล้กับ ประตู Ploce Gate
ที่นี่เป็นจุดหนึ่งที่นักท่องเที่ยวสามารถขึ้นและลงจากกำแพงเมืองได้
Dominican Monastery อยู่ใกล้กับประตู Ploce เป็นอีกหนึ่งในโบสถ์เก่าแก่ประจำเมือง มีจุดเด่นคือบันไดทางขึ้นที่สวยงาม ด้านในเป็นพิพิธภัณฑ์จัดเเสดงสมบัติล้ำค่าของเมืองดูบรอฟนิก
ป้อม Revelin Fortress ตั้งอยู่นอกตัวเมืองตรงประตู Ploce Gate ไม่ได้เชื่อมต่อกับกำแพงเมือง สร้างเมื่อปี ค.ศ.1462 เพื่อใช้เป็นแนวป้องกันข้าศึกที่จะผ่านเข้ามาทางตะวันออกของเมือง ถือเป็นหนึ่งในสองของป้อมที่อยู่นอกเขตกำแพงเมือง (อีกป้อมคือป้อม Lovrijenac)
มุมมองของแนวกำแพงด้านทิศเหนือ ป้อมและหอคอยจะมีขนาดใหญ่โต ดูบึกบึนแข็งแรง
หอคอย Minceta เป็นสิ่งก่อสร้างที่สูงที่สุดของตัวเมืองเก่า ตั้งอยู่ทางทิศเหนือของเมือง สร้างเมื่อปี ค.ศ.1463 เพื่อใช้เป็นหอสังเกตการณ์ หอคอยนี้ถือเป็นที่รู้จักกันมากที่สุดในบรรดาป้อมต่างๆ เคยใช้เป็นสถานที่ถ่ายทำละครซีรี่ย์เรื่อง Game of Thrones ด้วย
จากบนยอดหอคอยมองลงไปจะเห็นตัวเมืองเก่าได้ทั่วอาณาบริเวณไปจนถึงเกาะ Lokrum ที่อยู่ทางใต้ของเมือง ได้รับการยกย่องว่าเป็นจุดชมวิวที่สวยที่สุดแห่งหนึ่งในตัวเมืองเก่านี้
จากบนหอคอย มองเห็น หอระฆัง (Bell Tower), อาสนวิหารดูบรอฟนิก (Dubrovnik Cathedral) และ โบสถ์เซนต์เบลส (St. Blaise Church)
สถานีเคเบิ้ลคาร์ที่อยู่บนเขา Srd.
มุมมองแนวกำแพงด้านทิศเหนือ
แนวกำแพงด้านทิศตะวันตก (Pile Gate)
แนวกำแพงด้านทิศตะวันตกและทิศใต้
ในที่สุดเราก็วนกลับมาถึงประตู Pile Gate เริ่มมีจำนวนนักท่องเที่ยวขึ้นมาเที่ยวชมมากขึ้นจากเมื่อตอนเช้าที่เราขึ้นมา
หลังจากการเดินเที่ยวในเขตเมืองเก่ารวมถึงการทัวร์รอบกำแพงเมือง ตอนหน้าเราจะออกไปเที่ยวต่อกันที่ด้านนอกเขตเมืองเก่าบ้าง โปรแกรมที่เหลือคือ ป้อม Lovrijenac และการขึ้นเคเบิ้ลคาร์ไปชมวิวของดูบรอฟนิกจากมุมสูง รวมถึงการตามรอยสถานที่ถ้ายทำซีรี่ย์ชื่อดัง Game of Thrones ..
แชร์เรื่องนี้: