กำแพงเมืองจีน (Great Wall of China)
สิ่งก่อสร้างจากน้ำมือมนุษย์ที่ใหญ่ที่สุดในโลกความยาวกว่า 21,000 กิโลเมตร ที่การก่อสร้างเริ่มต้นตั้งเเต่ 205 ปีก่อนคริสต์ศักราช ผ่านกาลเวลามาจนถึงปี ค.ศ.1620 มีเรื่องราวผูกพัน-เล่าขานทางประวัติศาสตร์และวัฒนธรรมมาอย่างยาวนาน ได้รับฉายาว่าเป็น 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ของโลก (ของยุคกลาง) ได้รับการขึ้นทะเบียนเป็น มรดกโลกทางวัฒนธรรม โดย UNESCO ในปี ค.ศ.1987
ใช่แล้ว.. เรากำลังพูดถึง กำแพงเมืองจีน (Great Wall of China) ที่นักเดินทางส่วนใหญ่ต่างมีเป้าหมายว่าจะต้องไปเยี่ยมชมให้ได้สักครั้งในชีวิต..
กำแพงเมืองจีน มีชื่อเรียกอีกอย่างว่า “กำแพงหมื่นลี้” (ภาษาจีน: 萬里長城 – ว่านหลี่ฉางเฉิง) เป็นโครงสร้างสถาปัตยกรรมที่สร้างขึ้นมาเพื่อป้องกันอาณาจักรจีนจากการรุกรานของชนเผ่าเร่ร่อนต่างๆทางตอนเหนือ (ฮั่น, มองโกเลีย, เเมนจูเรีย ฯลฯ) ในช่วงต่างๆของประวัติศาสตร์ ถูกคิดค้นและสร้างขึ้นเป็นครั้งแรกโดยจักรพรรดิฉินฉือหวางในช่วงศตวรรษที่ 3 ก่อนคริสตกาล มีลักษณะเป็นกําแพงสมัยโบราณที่มีป้อมคั่นเป็นช่วงๆ กําแพงส่วนใหญ่ที่ปรากฏในปัจจุบันสร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์ฉิน ตลอดหลายศตวรรษต่อมาราชวงศ์ต่างๆได้สร้างและขยายต่อเติมกำแพงเรื่อยมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงราชวงศ์หมิง ได้เพิ่มส่วนที่เป็นหินและอิฐอันเป็นที่รู้จักในปัจจุบัน
กําแพงเมืองจีนสร้างขึ้นในระยะเวลา 4 ช่วงหลักๆ ดังนี้:
- 205 ปี ก่อนคริสต์ศักราช (ราชวงศ์ฉิน)
- 100 ปี ก่อนคริสต์ศักราช (ราชวงศ์ฮั่น)
- ค.ศ.1138 – 1198 (สมัย 5 ราชวงศ์ 10 อาณาจักร)
- ค.ศ.1368 – 1620 (สมัยสมเด็จพระจักรพรรดิหงอู่ ยุคต้นราชวงศ์หมิง)
ที่ตั้งของกำแพงเมืองจีนครอบคลุมพื้นที่ 15 มณฑลของประเทศ ที่หลงเหลือและเป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยวในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นส่วนที่สร้างในสมัยราชวงศ์หมิง ซึ่งมีอายุราว 500-600 ปี กำแพงเมืองจีนส่วนซึ่งเป็นที่รู้จักและได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยว-เข้าถึงได้ง่ายมีอยู่หลายแห่งได้แก่:
- ปาต้าหลิง (Badaling): เป็นส่วนที่อยู่ใกล้ปักกิ่งที่สุดและมีนักท่องเที่ยวนิยมไปเยี่ยมชมมากที่สุด
มู่เถียนยู่ (Mutianyu): อยู่ห่างจากปักกิ่งประมาณ 70 กิโลเมตร เป็นที่รู้จักจากทัศนียภาพที่สวยงามและมีหอสังเกตการณ์ที่ได้รับการอนุรักษ์อย่างดี
จิ่นซานหลิง (Jinshanling): มีสภาพค่อนข้างดั้งเดิมและเหมาะสำหรับนักเดินเขา
ซือหม่าไถ (Simatai): มีชื่อเสียงในเรื่องการปีนที่ชันและวิวทิวทัศน์ที่สวยงาม ซือหม่าไถเหมาะสำหรับนักเดินทางที่ชื่นชอบการผจญภัยและความท้าทายมากขึ้น
หวงหยากวน (Huangyaguan): อยู่ในเขตเทียนจิน มีลักษณะเฉพาะตัวและไม่ค่อยมีนักท่องเที่ยวมากนัก
ซานไห่กวน (Shanhaiguan): เอกลักษณ์ที่ไม่เหมือนกับที่อื่น คือมีส่วนหนึ่งของกำแพงเมืองที่ยื่นไปบรรจบกับทะเลป๋อไห่ทางทิศตะวันออก จนทำให้บางคนตั้งฉายาว่าเป็น จุดเริ่มต้น (สิ้นสุด) ของกำแพงเมืองจีน
เราคุ้นเคยกับเรื่องราวและภาพถ่ายของกำแพงเมืองจีนในที่อื่นๆมาโดยตลอด จนเมื่ออ่านพบว่ามีสถานที่หนึ่งที่กำแพงเมืองจีนด้านตะวันออกได้ยื่นบรรจบกับทะเล ภาพที่ได้เห็นทำให้เกิดความสนใจ จนในวันหนึ่งเราจึงมีโอกาสได้เดินทางไปเที่ยวชมและเห็นด้วยตาตัวเอง..
กำแพงเมืองจีน ด่านซานไห่กวน (山海關)
กำแพงเมืองจีน ด่านซานไห่กวน (Shanhaiguan / Shanhai Pass, ภาษาจีน: 山海關) ตั้งอยู่ที่เมืองซานไห่กวน มณฑลเหอเป่ย ห่างจากกรุงปักกิ่ง/เทียนจินประมาณ 300 กิโลเมตรทางทิศตะวันออก
กำแพงเมืองจีนส่วนที่เห็นยื่นไปบรรจบกับทะเล มีชื่อเรียกว่า Laolongtou (老龍頭 – เหล่าหลงโถว) ซึ่งมีความหมายว่า Old Dragon’s Head (หัวมังกรเฒ่า) เป็นส่่วนหนึ่งของ Shanhaiguan Pass
วิธีการเดินทาง
ขึ้นรถไฟความเร็วสูงจากสถานีรถไฟเทียนจินตะวันตก (Tianjin West Railway Station) เมืองเทียนจินไปยังเมืองซานไห่กวน ใช้เวลาเดินทางประมาณ 1 ชั่วโมง 30 นาทีเท่านั้น ค่าโดยสารคนละประมาณ 130 หยวน
สถานีรถไฟเทียนจินตะวันตก (Tianjin West Railway Station) เป็นสถานีรถไฟขนาดใหญ่และทันสมัย มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน บรรยากาศคลายกับสนามบินเลยทีเดียว
ใช้เวลาไม่ถึงสองชั่วโมงก็ถึงสถานีรถไฟซานไห่กวน
ด่านซานไห่กวน (Shanhaiguan Pass – 山海关)
จากสถานีรถไฟ เดินไปทางทิศเหนือประมาณหนึ่งอึดใจ จะถึง ด่านซานไห่กวน (Shanhaiguan Pass)
Shanhaiguan /Shanhai Pass เป็นกำเเพงและป้อมปราการที่สร้างขึ้นในสมัยราชวงศ์หมิง (ค.ศ.1368 – 1644) มีลักษณะเป็นรูปทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ประกอบด้วยกำแพงยาว 4.8 กิโลเมตร แนวกำแพงมีความสูงประมาณ 14 เมตร กว้าง 7 เมตร ประตูทางเข้าทั้งสี่ทิศ (ปัจจุบันเหลือเเต่ด้านทิศตะวันออก) เป็นป้อมขนาดใหญ่ ด้านบนมีหอคอย 2 ชั้น สูง 13 เมตร กว้าง 11 เมตร ยาว 20 เมตร ชายคาทาสีน้ำเงิน-เเดงสดใส หอคอยแห่งนี้มีทิวทัศน์อันงดงามของอ่าวป๋อไห่ที่อยู่ห่างออกไปทางทิศใต้ และเส้นทางคดเคี้ยวของกำแพงเมืองจีนทางด้านทิศเหนือ
ต้องซื้อตั๋วผ่านประตู (ราคา 40 หยวน) สำหรับการขึ้นไปเที่ยวชมบนกำแพง
ด่านซานไห่กวน (山海關) เป็นอีกหนึ่งป้อมปราการของกำแพงเมืองจีนที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ เป็นจุดที่กำแพงเมืองจีนบรรจบกับทะเลป๋อไห่ (Bohai Sea) ทางทิศตะวันออก เป็นจุดยุทธศาสตร์ที่แยกดินแดนทางเหนือและตะวันออกเฉียงเหนือที่ถูกครอบครองโดยชนเผ่าเร่ร่อนออกจากดินแดนทางใต้ที่ครอบครองโดยราชวงศ์จีน บันทึกทางประวัติศาสตร์ได้ระบุว่า เป็นเวลาหลายศตวรรษที่ด่านซานไห่กวนเป็นจุดป้องกันที่สำคัญ คอยปกป้องทางผ่านแคบๆ ระหว่างภูเขาและทะเลที่นำไปสู่ที่ราบภาคกลางของจีน อันเป็นที่มาของชื่อ “ซานไห่กวน – 山海关 หรือด่านภูเขาและทะเล” (山 = ภูเขา, 海 = ทะเล) นอกจากนี้ ยังได้รับการกล่าวขานกันว่า เป็นจุดสิ้นสุดของกำแพงเมืองจีนด้านตะวันออก อีกด้วย
ด่านซานไห่กวนแห่งนี้ได้รับฉายาว่า “ด่านแรกในใต้หล้า” (First Pass Under Heaven) หรือในภาษาจีนคือ “เทียนเซี่ยตี้อี้กวน” (天下第一关) ด้วยเหตุผลที่ต้องการยกย่องและสะท้อนถึงความสำคัญของด่านแห่งนี้ เนื่องจากที่นี่มีความสำคัญทางด้านยุทธศาสตร์และประวัติศาสตร์อันยาวนาน เปรียบเสมือนสัญลักษณ์ของความมั่นคงและอำนาจของจีน
บริเวณผนังของป้อมต่างๆมีช่องสี่เหลี่ยมทาสีเเดงและเจาะรูกลมๆขนาดเล็กเอาไว้ เวลามีศึกสงครามพลธนูจะประจำการและยิงธนูออกมาจากช่องเหล่านี้
ด่านแห่งนี้ประกอบด้วยป้อมปราการขนาดใหญ่ หอคอย และส่วนต่างๆ ด้านบนกำเเพงมีทางเดินขนาดใหญ่เชื่อมระหว่างหอคอยและป้อมต่างๆ
เหล่าหลงโถว (Laolongtou Great Wall – 老龍頭)
อีกหนึ่งไฮไลต์ของกำแพงเมืองจีนด่านซานไห่กวน คือกำแพงเมืองจีนส่วนที่ยื่นไปบรรจบกับทะเลป๋อไห่ อันมีชื่อเรียกว่า Laolongtou (老龍頭 – เหล่าหลงโถว) มีความหมายว่า Old Dragon’s Head (หัวมังกรเฒ่า) เป็นภาพของกำแพงเมืองจีนที่เเปลกตาและไม่เหมือนที่อื่น มีการอุปมากันว่าเหมือนเป็นห้วมังกรที่กำลังดื่มน้ำ บ้างก็ให้ฉายาว่าเป็นจุดเริ่มต้นของกำแพงเมืองจีน ฯลฯ
กำแพงเมืองจีนเหล่าหลงโถวตั้งอยู่ห่างจากซานไห่กวนประมาณ 5 กิโลเมตรทางตอนใต้
การเดินทาง: สามารถโดยสาร รถเมล์สาย 25 จากประตูด้านทิศใต้ของซานไห่กวน (ผ่านสถานีรถไฟด้วย) หรือ รถเมล์สาย 21 จาก Ying’en Tower (ประตูด้านทิศตะวันตกของซานไห่กวน) หรือใช้บริการเเท็กซี่ที่จอดอยู่บริเวณหน้าสถานีรถไฟก็ได้
ตั๋วค่าเข้าชมราคาคนละ 50 หยวน
อันนี้ดูเหมือนว่าจะคุ้นๆ 😀
กำเเพงเมืองเหล่าหลงโถว เป็นส่วนหนึ่งของกำเเพงเมืองจีนซานไห่กวน ที่นี่สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1381 ภายใต้การดูแลของ Qi Jiguang แม่ทัพแห่งราชวงศ์หมิง (1368 – 1644) สมัยนั้นนับได้ว่าเป็นแนวป้องกันที่สำคัญต่อศัตรูที่มาจากทางเหนือทั้งทางบกและทางทะเล หลังจากการสถาปนาราชวงศ์ชิง (ค.ศ.1644 – 1911) บทบาทหน้าที่ทางทหารของที่นี่ก็ค่อยๆลดน้อยลง ปัจจุบันกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ดึงดูดนักท่องเที่ยวจำนวนมากให้มาเยี่ยมเยือนอีกเเห่ง
ประตูทางเข้าด้านทิศเหนือของ ป้อมหนิงไห่ เป็นทางเข้าไปสู่พื้นที่ที่เคยเป็นกองผู้บัญชาการและพื้นที่ฝึกซ้อมของทหารรักษาการณ์ในอดีต ในช่วงสงครามที่แห่งนี้จะกลายเป็นป้อมปราการที่ป้องกันศัตรูและยังเป็นฐานบัญชาการสำหรับการวางแผนทางยุทธวิธีอีกด้วย
จวน(ศาลา)เฉิงไห่ (Chenghai Pavilion) ตั้งอยู่ที่มุมด้านตะวันออกเฉียงใต้ของป้อมหนิงไห่ เป็นอาคาร 2 ชั้นสร้างด้วยอิฐและไม้ ในยุคสมัยของราชวงศ์ชิง จักรพรรดิห้าองค์ของราชวงศ์ (คังซี, หยงเจิ้ง, เฉียนหลง, เจียชิง และเต้ากวง) ได้เดินทางมาแวะเยี่ยมเยือนที่นี่ถึง 12 ครั้งในระหว่างเดินทางเพื่อไปสักการะบรรพบุรุษ มีบทกวีและคำจารึกที่เขียนโดยจักรพรรดิถูกแกะสลักไว้บนแผ่นจารึก ชั้นสองของศาลาเฉิงไห่เป็นจุดที่สูงที่สุดของพื้นที่ สามารถมองเห็นทิวทัศน์ที่สวยงามได้รอบด้าน
จากด้านหน้าของศาลาเฉิงไห่ มีทางเดินตรงไปและข้ามสะพานสีเเดง จะนำไปสู่กำแพงเมืองลาวหลงโถวที่ยื่นออกไปบรรจบกับทะเลป๋อไห่
จากหน้าศาลาเฉิงไห่ มีทางเลี้ยวออกไปด้านขวามือ ซึ่งนำลงไปสู่จุดชมวิวบริเวณชายหาด และสามารถเดินไปถึง วัดเทพเจ้าแห่งท้องทะเล ได้ด้วย
หอสัญญาณจิงหลู (Jinglu Beacon Tower) ตั้งอยู่บริเวณส่วนปลายของกำแพงที่ยื่นออกไปในทะเล สร้างขึ้นในปี ค.ศ.1565
กำแพงส่วนที่ยื่นลงไปยังทะเลสร้างขึ้นในปี ค.ศ.1579 โดย Wu Weizhong นายทหารของราชวงศ์หมิง และได้รับการบูรณะและปรับปรุงใหม่ในปี ค.ศ.1987 กำแพงส่วนนี้มีความยาวประมาณ 22.4 เมตร ประกอบด้วยบล็อกหินแกรนิตแถบขนาดใหญ่เก้าชั้นซึ่งมีความสูงรวม 9.2 เมตร
วัดเทพเจ้าแห่งท้องทะเล (Temple of Goddess of the Sea) เป็นวัดลัทธิเต๋าโบราณตั้งเเต่สมัยราชวงศ์หมิง ที่เห็นในปัจจุบันเป็นส่วนที่ได้บูรณะและสร้างขึ้นใหม่ในปี ค.ศ.1988 อยู่ห่างจากกำแพงเหล่าหลงโถวไปทางตะวันตกประมาณ 350 เมตร ตัววัดล้อมรอบด้วยทะเลทั้งสามด้าน ประกอบด้วยสิ่งก่อสร้างต่างๆ เช่น ซุ้มประตู โถงเทพีแห่งสวรรค์ และโถงเทพเจ้าแห่งท้องทะเล อันเป็นสิ่งก่อสร้างหลักของวัดเพื่อให้ผู้คนได้สักการะเทพเจ้าและสวดมนต์ขอให้เดินทางโดยสวัสดิภาพและเก็บเกี่ยวผลดีในสมัยก่อน บริเวณปลายสุดของวัดคือศาลาชมทะเล ซึ่งเป็นจุดชมวิวอีกแห่งหนึ่งที่มีทิวทัศน์สวยงาม หากมีหมอกหรือฝนตกปรอยๆ วัดจะดูเลือนลางราวกับอยู่ในแดนสวรรค์..
เดินเที่ยวจนได้เวลา ก็กลับมายังสถานีรถไฟซานไห่กวน เพื่อเดินทางกลับ..
ที่นั่งชั้นสองก็มีขนมและของว่างเเจก 😛
แชร์เรื่องนี้:
Leave a reply