20-August-25
  • Menu

[ญี่ปุ่น] คืนสู่ธรรมชาติที่คามิโคจิ – First Spring in Kamikochi

Home » [ญี่ปุ่น] คืนสู่ธรรมชาติที่คามิโคจิ – First Spring in Kamikochi

Loading

คามิโคจิ (上高地) – Kamikōchi)

ในภูมิภาคชูบุ จังหวัดนากาโนะของประเทศญี่ปุ่น มีสถานที่หนึ่งที่ซ่อนตัวเงียบสงบอยู่ท่ามกลางหุบเขาแห่งเจแปนแอลป์ (Japanese Alps) สถานที่ซึ่งได้รับการขนานนามว่าเป็น “สวรรค์บนดิน” สำหรับผู้หลงใหลในความงดงามของธรรมชาติ ที่นั่นคือ คามิโคจิ (上高地 – Kamikōchi) ดินแดนที่โอบล้อมด้วยยอดเขาสูงตระหง่าน แม่น้ำอาซุสะใสสะอาด และผืนป่าอันอุดมสมบูรณ์ สายหมอกบางลอยเหนือผิวน้ำในยามเช้า เสียงนกร้องประสานกับเสียงลำธารที่ไหลแผ่วเบา ทุกองค์ประกอบล้วนเรียงร้อยเป็นบรรยากาศแห่งความสงบเงียบที่ยากจะหาที่ใดเทียบเท่า

คามิโคจิเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวธรรมชาติที่งดงามที่สุดของญี่ปุ่น ตั้งอยู่ใน อุทยานแห่งชาติชูบุ-ซังกะกุ (Chūbu-Sangaku National Park) จังหวัดนากาโนะ (Nagano) บนความสูงประมาณ 1,500 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล ที่นี่โดดเด่นด้วยทัศนียภาพของแม่น้ำอาซุสะ (Azusa River) ที่ใสไหลเย็น เทือกเขาโฮตากะ (Hotaka) ที่ตั้งตระหง่านอยู่เบื้องหน้า และธรรมชาติที่ยังคงความบริสุทธิ์อย่างน่าประทับใจ

คามิโคจิเปิดให้นักท่องเที่ยวเข้าชมเฉพาะช่วงฤดูใบไม้ผลิและฤดูร้อนเท่านั้น โดยจะเปิดตั้งแต่ กลางเดือนเมษายนถึงกลางเดือนพฤศจิกายน ของทุกปี ส่วนในฤดูหนาว (ธันวาคม–มีนาคม) พื้นที่จะถูกปิด เนื่องจากสภาพอากาศที่รุนแรงและหิมะปกคลุมหนาแน่น

การเดินทางของเราเกิดขึ้นในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิ ซึ่งตรงกับ วันแรกของการเปิดฤดูกาลท่องเที่ยว (17 เมษายน) เราต้องการสัมผัสคามิโคจิในช่วงเวลาที่เงียบสงบ ผู้คนยังไม่พลุกพล่าน และธรรมชาติกำลังเริ่มฟื้นตัวจากฤดูหนาว

การเดินทาง

คามิโคจิตั้งอยู่ในเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่นตอนเหนือ (Northern Japan Alpes) บริเวณกึ่งกลางระหว่างเมืองนี้ มัตสึโมโตะ (Matsumoto) และ เมืองทาคายามะ (Takayama) ทำให้สามารถเดินทางไปแบบเช้า-เย็นกลับจากทั้งสองเมืองได้สะดวก นอกจากนี้ยังสามารถเดินทางจากเมืองนากาโนะ (Nagano) ได้อีกด้วย

โดยรถยนต์ส่วนตัว: คามิโคจิมีนโยบายอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมอย่างเข้มงวด จึงไม่อนุญาตให้นักท่องเที่ยวนำรถยนต์หรือจักรยานยนต์ส่วนตัวเข้าไปโดยตรง นักท่องเที่ยวต้องจอดรถในจุดที่กำหนดไว้แล้วเปลี่ยนไปใช้บริการรถสาธารณะในช่วงสุดท้ายของเส้นทาง โดยมีระบบรองรับที่สะดวกและมีประสิทธิภาพ

หากขับรถมาจากเมืองมัตสึโมโตะหรือเมืองนากาโนะ ให้จอดที่ ลานจอดรถ Sawando
ส่วนผู้ที่เดินทางมาจากเมืองทาคายามะ ให้จอดที่ ลานจอดรถ Hirayu จากนั้นสามารถต่อรถบัสรับส่ง (Shuttle Bus) หรือแท็กซี่ที่ได้รับอนุญาตเพื่อเดินทางต่อไปยัง Kamikochi Bus Terminal โดยใช้เวลาประมาณ 30–40 นาที

โดยรถไฟท้องถิ่น + รถบัส: ขึ้นรถไฟสาย Matsumoto Dentetsu Line จากเมืองมัตสึโมโต ไป(สุดทาง)ที่ สถานี Shin-Shimashima จากนั้นขึ้นรถบัสรับส่ง (Shuttle Bus) ไปลงที่ Kamikochi Bus Terminal (ใช้เวลาอีกประมาณ 1 ชั่วโมง)

Photo Credit: www.visit-nagano.alpico.co.jp

การเดินทางโดยรถบัสสาธารณะ: มีรถบัสสาธารณะที่วิ่งตรงไปยัง Kamikochi Bus Terminal จากเมืองนากาโนะ (รถบัสรอบ 08:30) และมัตสึโมโต (รถบัสรอบ 05:30 และ 10:30) นอกจากนั้นต้องไปต่อรถที่สถานี Shin-Shimashima ทั้งหมด ดูรายละเอียด

การเดินทางของเรา

เราเช่ารถและเดินทางจากเมืองนากาโนะ จุดหมายปลายทางคือ Sawando Bus terminal ระยะทางประมาณ 110 กิโลเมตร ใช้เวลา 2 ชั่วโมงเศษๆ

Sawando Bus terminal

Sawando Bus Terminal เป็นจุดจอดและเปลี่ยนพาหนะสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเดินทางเข้าสู่คามิโคจิ โดยเฉพาะผู้ที่ขับรถยนต์ส่วนตัวหรือรถทัวร์จากฝั่ง นากาโนะ–มัตสึโมโตะ (ด้านตะวันออกของเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น) เนื่องจากคามิโคจิไม่อนุญาตให้รถยนต์ส่วนตัวเข้าไปโดยตรง นักท่องเที่ยวจึงต้องจอดรถที่นี่ แล้วเปลี่ยนไปใช้บริการรถชัตเติ้ลบัสหรือแท็กซี่ที่ได้รับอนุญาต เพื่อเดินทางต่อไป

บริเวณสถานีมีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน เช่น ห้องน้ำ พื้นที่พักผ่อน ศูนย์บริการข้อมูลนักท่องเที่ยว และที่จอดรถขนาดใหญ่ รองรับการเดินทางได้อย่างสะดวกสบาย ที่นี่จึงเปรียบเสมือน “ประตูด่านแรก” สำหรับการเข้าสู่คามิโคจิทางฝั่งตะวันออกอย่างแท้จริง

อัตราค่าจอดรถ 800 เยน

จากลานจอดรถมีทางเดินลอดอุโมงค์ไปทะลุยังอาคารศูนย์บริการนักท่องเที่ยวได้เลย

ศูนย์บริการนักท่องเที่ยวเป็นอาคารเปิดโล่งขนาดใหญ่-โอ่โถง สามารถรองรับนักท่องเที่ยวได้เป็นจำนวนมากในช่วงไฮซีซั่น

นักท่องเที่ยวสามารถซื้อตั๋วรถชัตเติ้ลบัสไปยังคามิโคจิได้จากเครื่องจำหน่ายบัตรอัตโนมัติ

มีที่นั่งพักและห้องน้ำสะอาดจำนวนมากไว้บริการ

รถชัตเติ้ลบัสจาก Swando (สถานี K-20) จะวิ่งผ่านจุดต่างๆไปสิ้นสุดที่ Kamikochi Bus Terminal (K-30) โดยใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที

Kamikochi Bus Terminal – Sightseeing Center

ที่นี่คือศูนย์กลางหลักในการเข้าถึงคามิโคจิ เป็นจุดสิ้นสุดของรถชัตเติ้ลบัส/แท็กซี่ทุกคันที่เดินทางมาถึง สามารถซื้อตั๋วรถบัสหรือแท็กซี่สำหรับขากลับได้ที่นี่

นอกจากสถานีรถบัสแล้ว ยังมีศูนย์ข้อมูลและบริการนักท่องเที่ยว ร้านค้า ร้านอาหาร ห้องรับฝากสัมภาระ ฯลฯ ไว้บริการ

มีห้องรับฝากสัมภาระที่ชั้น 1 ของอาคาร (แต่ไม่มีตู้ล็อกเกอร์หยอดเหรียญ) อัตราค่าบริการคิดตามวัน ตั้งเเต่ขนาดเล็ก (350 เยน) จนถึงขนาดใหญ่ (1000) เยน สามารถฝากกระเป๋าไว้ค้างคืนได้ แต่สำนักงานเปิดทำการเฉพาะเวลา 06.00 น. ถึง 17.00 น. เท่านั้น

สะพานคัปปะ (Kappa‑bashi / 河童橋)

จากสถานีรถบัสคามิโคจิและศูนย์บริการนักท่องเที่ยว มีทางเดินเลียบริมแม่น้ำอาซุสะ (Azusa River) ที่สวยงาม ระยะทางประมาณ 400 เมตร ไปยัง สะพานคัปปะ (Kappa Bridge) แลนด์มาร์กสำคัญและสัญลักษณ์ของคามิโคจิที่นักท่องเที่ยวต่างรู้จัก

สะพานคัปปะ (Kappabashi) เป็นสะพานแขวนข้ามแม่น้ำอาสึสะในใจกลางคามิโคจิ มีโรงแรม ร้านอาหาร และร้านขายของที่ระลึกหลายแห่งอยู่รอบๆ โครงสร้างของสะพานเป็นไม้และกลายมาเป็นสัญลักษณ์ที่โดดเด่นของคามิโคจิ

ทิวทัศน์อันสวยงามของที่นี่จะแปรเปลี่ยนไปตลอดทั้งปีตามฤดูกาล.. ใบไม้สีเขียวสดชื่นในฤดูร้อน สีเหลือง-ทองอร่ามในฤดูใบไม้ร่วง และฉากดุจเทพนิยายในฤดูหนาวที่ทั้งบริเวณถูกปกคลุมไปด้วยหิมะขาวโพลน ซึ่งยังทิ้งร่องรอยให้เราเห็นในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิเเบบนี้

สะพานนี้ได้รับแรงบันดาลใจมาจากนวนิยายเรื่อง “คัปปะ (Kappa)” ของ ริวโนะสุเกะ อะคุตะกาวะ ( Ryunosuke Akutagawa) ในปี ค.ศ.1927 ซึ่งบรรยายถึงตัวละครผู้เดินทางท่องเที่ยวในหุบเขาแล้วพลัดหลงเข้าไปในดินแดนลึกลับของ “คัปปะ” ซึ่งเป็นเผ่าวิญญาณแห่งน้ำที่แปลกประหลาดจากนิทานพื้นบ้านของญี่ปุ่น

สะพานคัปปะเป็นจุดถ่ายรูปยอดนิยม เมื่อหันหน้าไปทางทิศเหนือ (ต้นน้ำ) จะมองเห็น ยอดเขาโฮตากะ (Hotaka Peaks) และ ภูเขาเมียวจินดาเกะ (Mt. Myojindake) ที่สวยงาม

เมื่อมองลงไปทางทิศใต้ (ปลายน้ำ) จะเห็น ภูเขายาเกะดาเกะ (Mt. Yakedake) ซึ่งเป็นยอดเขาสำคัญที่ตั้งอยู่บริเวณทางเข้าคามิโคจิ ปล่องภูเขาไฟที่มีควันพวยพุ่งออกมาเตือนเราว่าเป็นภูเขาไฟที่ยังคุกรุ่นอยู่ บริเวณรอบๆสะพานมีต้นเคโช ยานางิ (พันธุ์ไม้ท้องถิ่น) และต้นสนชนิดหนึ่งของญี่ปุ่น

ที่เชิงสะพานกัปปะทั้งสองฝั่งเป็นที่ตั้งของร้านค้า ร้านอาหาร และโรงแรมที่พัก จัดได้ว่าบริเวณนี้เป็นจุดศูนย์กลางของการท่องเที่ยวคามิโคจิ

สามารถลงไปเดินเล่น-ถ่ายภาพในบริเวณลำธารได้

เส้นทางเดินเที่ยวในคามิโคจิ

คามิโคจิมีเส้นทางเดินชมธรรมชาติที่เหมาะกับทุกเพศวัย ตั้งแต่สายชิลล์จนถึงนักเดินป่ามืออาชีพ โดยเส้นทางยอดนิยมจะเลียบแม่น้ำอาซุสะ (Azusa River) ผ่านจุดไฮไลต์สำคัญต่าง ๆ ท่ามกลางวิวเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่นและป่าไม้ที่ร่มรื่น

จุดท่องเที่ยวหลักๆในคามิโคจิได้เเก่:

สถานที่ รายละเอียด
สะพานคัปปะ (Kappa-bashi) สะพานไม้ที่มีชื่อเสียงที่สุดใน Kamikochi จุดชมวิวภูเขา Hotaka และแม่น้ำ Azusa
แม่น้ำอาซุสะ (Azusa River) น้ำใสไหลผ่านใจกลางหุบเขา เป็นเส้นทางเดินเท้าที่งดงาม
บึงไทโช (Taisho Pond) บึงเงียบสงบที่เกิดจากภูเขาไฟปะทุ มักมีหมอกลอยในยามเช้า
บึงเมียวจิน (Myojin Pond) จุดชมความสงบ ศักดิ์สิทธิ์ ใกล้ศาลเจ้า Hotaka-jinja
เส้นทางเดินป่า (Hiking Trails) มีเส้นทางหลากหลายระดับ ตั้งแต่ 1-2 ชั่วโมง จนถึงเส้นทางปีนเขาขึ้นยอด Hotaka หรือ Mt. Yake

เส้นทางเดินเที่ยวจากสะพานคัปปะไปยังบึงไทโช (Kappa Bridge – Taisho Pond): เป็นเส้นทางที่ง่าย ทิวทัศน์หลากหลาย ภูมิประเทศส่วนใหญ่เป็นที่ราบ เหมาะสำหรับนักท่องเที่ยวทุกคน เราจะได้เห็นทัศนียภาพอันเป็นเอกลักษณ์ของคามิโคจิมากมาย เช่น ภูเขายาเกะ (Mt. Yake) ที่พ่นควัน และ ยอดเขาโฮทากะ (Tahoka Peaks) ที่สะท้อนบนผิวน้ำของ บึงไทโช (Tysho Pond) ราวกับกระจก บริเวณหนองน้ำอันน่ารื่นรมย์รอบๆ บึงทาชิโระ (Tashiro) ระยะทางประมาณ 4 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินเที่ยวราว 2.5 ชั่วโมง นักท่องเที่ยวบางคนเลือกลงรถชัตเติ้ลบัสที่บ่อน้ำไทโชแล้วจึงเดินต่อไปยังสะพานคัปปะ วิธีนี้ทำให้เป็นการเดินแบบเที่ยวเดียวและลดเวลาลงได้เกือบครึ่ง

บึงเมียวจิน (明神池 – Myojin Pond)

จากสะพานคัปปะ เราเลือกที่จะเดินลัดเลาะทางฝั่งซ้ายของเเม่น้ำอาซูสะไปยังบึงเมียวจิน (Myojin Pond) ระยะทางประมาณ 3.4 กิโลเมตร ใช้เวลาเดิน (ไป-กลับ) ประมาณ 2 ชั่วโมง

เลยจากสะพานคัปปะไม่ไกล จะถึง ศูนย์นักท่องเที่ยวคามิโคจิKamikochi Visitor Center (คนละเเห่งกับ Kamikochi Sightseeing – Information Center ที่อยู่บริเวณ Bus Terminal)

Kamikochi Visitor Center เป็นอาคารขนาดใหญ่ที่ได้รับการออกเเบบ-ก่อสร้างมาเป็นอย่างดี ศูนย์นักท่องเที่ยวแห่งนี้มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับภูมิศาสตร์ ธรณีวิทยา พืช สัตว์ และตำนานพื้นบ้านของคามิโคจิ รวมถึงให้คำแนะนำสำหรับนักปีนเขาและนักท่องเที่ยวทั่วไป นอกจากนี้ยังมีการจัดแสดงภาพถ่าย นิทรรศการ และภาพยนตร์เกี่ยวกับธรรมชาติของคามิโคจิ รวมถึงบริการนำเที่ยวแบบมีไกด์ (มีค่าใช้จ่าย) เพื่อการเที่ยวชมธรรมชาติในคามิโคจิ

ภายในศูนย์ฯประกอบด้วยเคาน์เตอร์ให้ข้อมูล ห้องบรรยาย นิทรรศการ ห้องสมุดที่มีสื่อดิจิทัลและหนังสือเกี่ยวกับคามิโคจิและเทือกเขาแอลป์ญี่ปุ่น ตลอดจนร้านขายของที่ระลึก รวมถึงสิ่งอำนวยความสะดวกอื่นๆสำหรับนักท่องเที่ยว เช่น ห้องน้ำสะอาด ห้องนมเด็กและบริการเช่าเก้าอี้เข็น ฯลฯ

ที่นี่จึงเป็นจุดแวะพักและแหล่งข้อมูลสำคัญสำหรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการเรียนรู้และวางแผนการเดินทางในคามิโคจิอย่างครบถ้วน

ถัดจาก Kamikochi Visitor Center เป็นพื้นที่ตั้งเเค้มป์ (Camp Ground) ซึ่งจะคึกคักมากในช่วงไฮซีซั่น

การลำเลียงสิ่งของไปยังพื้นที่บนเขาสูงโดยเฮลิคอ็อบเตอร์

ทางเดินเริ่มตัดขึ้นเนินเตี้ยๆ มีร่องรอยของหิมะที่ตกมาก่อนหน้า บรรยากาศสดชื่น เย็นสบาย

หลังจากสะพานที่ทอดข้ามเเม่น้ำอาซูสะ จะถึง ศาลเจ้าโฮทากะ (Hotaka Shrine) ซึ่งมีบึงเมียวจินอยู่ในบริเวณเดียวกัน

บึงเมียวจินมีขนาดไม่ใหญ่นัก รูปร่างคล้ายผลน้ำเต้า มีแนวคอดตรงกลางระหว่าง บึงที่หนึ่ง – อิจิโนะอิเคะ (Ichi no Ike) กับ บึงที่สอง – นิโนะอิเคะ (Ni no Ike) จุดเด่นของบึงเมียวจินคือบรรยากาศศักดิ์สิทธิ์ เพราะตั้งอยู่ในเขต ศาลเจ้าโฮทากะ (Hotaka Shrine Okumiya) ในฤดูใบไม้เปลี่ยนสีจะเห็นต้นไม้รอบบึงสะท้อนเงาสีสันสดใสลงบนผิวน้ำ สร้างภาพที่สวยงามราวกับภาพวาด นอกจากนี้ยังมีเส้นทางเดินรอบบึงระยะทางประมาณ 1.5 กิโลเมตร เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเดินชมธรรมชาติอย่างใกล้ชิดและสงบเงียบ

ในเดือนตุลาคมของทุกปี จะมี เทศกาลเรือศักดิ์สิทธิ์ (Hotaka‑Okumiya Ofune Matsuri) ที่มีการล่องเรือในบึงเพื่อสักการะเทพเจ้าแห่งน้ำ

ขากลับไปสะพานคัปปะ โดยปรกติสามารถใข้ทางที่อยู่บนฝั่งขวาของเเม่น้ำอาซูสะได้ เเต่ช่วงนี้ปิดซ่อมบำรุงอยู่ เราจึงเดินย้อนกลับตามเส้นทางเดิม เเละก็พบว่า เพียงเเค่มองในมุมที่เเตกต่างกัน ทิวทัศน์ระหว่างทางก็ยังคงดูแปลกใหม่-สวยงาม ไม่ซ้ำเหมือนตอนขามา

ตลอดทางจะสวนกับนักท่องเที่ยวที่เพิ่งมาถึงเป็นจำนวนมาก

เดินชมวิวเพลินๆไม่นานก็กลับถึงสะพานคัปปะ

แม้ว่าจะเดินผ่านวิวเดิมๆบริเวญสะพานฯ เเต่ก็ยังคงสวยสะกดใจ จนต้องอดยกกล้องขึ้นมาถ่ายภาพเก็บเอาไว้อีกไม่ได้.. อีกหนึ่งสิ่งที่เราค้นพบก็คือ ความสวยงามนั้นมีอยู่ในทุกๆที่ที่เราก้าวไป ไม่จำเป็นจะต้องอยู่ที่จุดหมายปลายทางเเต่เพียงอย่างเดียว

บนเส้นทางที่ขับรถกลับนากาโนะ เราเเวะพัก-ถ่ายรูปที่สวนสาธารณะเล็กๆแห่งหนึ่งที่อยู่ตรงบริเวณจุดชมวิวของเขื่อนเล็กๆริมถนน ได้ตอกย้ำอีกครั้งถึงความจริงที่ว่า

“… ความสุขคือการเดินทาง มิใช่จุดหมายปลายทาง…”  \O.O/

แชร์เรื่องนี้: